เอชพีวี หรือ Human Papillomavirus (HPV) คือ เชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อที่เยื่อบุผิว และยังก่อให้โรคบริเวณอวัยวะเพศและทวารหนักทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย โดยเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV) นี้สามารถอาศัยอยู่ในเซลล์เยื่อบุผิวหนัง และในเยื่อมูกที่ปกคลุมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น
- ภายในจมูก ปาก และลำคอ
- ด้านในของเปลือกตา
- ด้านในของผิวหนังและท่อปัสสาวะที่องคชาติ
- ช่องคลอด ปากมดลูก และอวัยวะเพศภายนอก
- ทวารหนัก
ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีเชื้อเอชพีวี (HPV) มากกว่า 100 สายพันธุ์ และในจำนวนนี้จะมีประมาณ 40 สายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อบริเวณอวัยวะเพศได้ โดยจะถูกแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
- กลุ่มสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงต่ำ (Low risk type) คือ สายพันธุ์ที่ไม่ก่อให้เกิดมะเร็ง แต่ทำให้เกิดโรคหูดหงอนไก่ เช่น สายพันธุ์ 6 และ 11
- กลุ่มสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูง (High risk type) คือ สายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้ เช่น สายพันธุ์ 16, 18, 31, 33, 35, 39, 45, 51, 52, 56, 58, 59, 68, 69, 73, 82 โดยเฉพาะสายพันธุ์ 16 และ 18 ที่สามารถก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูกได้มากถึง 70% เลยทีเดียว
เชื้อเอชพีวี (HPV) สามารถติดต่อได้หลายช่องทาง เช่น ช่องคลอด ทวารหนัก หรือแม้แต่ทางช่องปาก นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อได้ทางการสัมผัสกับเชื้อโดยตรง (Skin to skin contact) เช่น
- มีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ แม้ในช่วงที่ผู้ติดเชื้อยังไม่แสดงอาการก็ตาม
- ใช้อุปกรณ์เพื่อสนองความต้องการทางเพศร่วมกับผู้ติดเชื้อ
- สัมผัสผิวหนังหรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อจากผู้ติดเชื้อ
- สำเร็จความใคร่ทางปากหรือออรัลเซ็กส์ (Oral sex) กับผู้ติดเชื้อ
ส่วนมากแล้ว ผู้ชายมักจะเป็นพาหะนำเชื้อมาสู่ผู้หญิงโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งอาการของการติดเชื้ออาจแสดงออกภายหลังจากผ่านไปหลายปีหลังจากติดเชื้อ นี่จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการแพร่เชื้อเอชพีวี (HPV) ไปยังบุคคลอื่นโดยที่ผู้ติดเชื้อและคู่นอนไม่รู้ว่าตนเองหรืออีกฝ่ายมีเชื้อเอชพีวี (HPV) อยู่
มะเร็งช่องปาก (Oral cancer) คือ ก้อนเนื้อร้ายที่เกิดขึ้นที่อวัยวะในบริเวณช่องปาก ได้แก่ ริมฝีปาก เหงือก ลิ้นไก่ กระพุ้งแก้ม เพดานปากทั้งเพดานอ่อนและเพดานแข็ง ต่อมทอนซิล กระดูกขากรรไกร ส่วนบนของลำคอ และอวัยวะที่พบว่าเป็นมะเร็งได้บ่อย คือ ลิ้น และพื้นปากใต้ลิ้น
จากการศึกษาก่อนหน้านี้พบว่าปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดในการก่อให้เกิดโรคมะเร็งช่องปาก คือ การสูบบุหรี่หรือยาสูบ และการดื่มแอลกอฮอล์จัด เนื่องจากพบว่าผู้ที่สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์จะเป็นมะเร็งช่องปากมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่และไม่ดื่มแอลกอฮอล์ถึง 6 เท่า
ในปัจจุบันยังพบว่าการสำเร็จความใคร่ทางปาก (Oral sex) กลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งช่องปาก (Oral cancer) เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่ควรต้องระวัง เช่น
- มีประวัติทางพันธุกรรมเคยมีคนในครอบครัวเป็นมะเร็ง
- มีประวัติการรักษาด้วยวิธีฉายรังสีหรือเคยโดนรังสี
- รับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่ร้อนจัดเกินไปอยู่เป็น เนื่องจากความร้อนที่มาจากอาหารจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุในช่องปาก เมื่อเกิดการระคายเคืองต่อเนื่องเป็นประจำจึงอาจส่งผลให้เนื้อเยื่อในช่องปากเปลี่ยนแปลงไปจนกลายเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด
- มีเพศสัมพันธ์โดยใช้ปาก (Oral sex) กับผู้ติดเชื้อเอชพีวี (HPV)
- มีสุขภาพช่องปากไม่ดี เช่น ฟันผุเรื้อรัง หรือเกิดการระคายเคืองหรือมีแผลในช่องปากเป็นระยะเวลานาน
- ใส่ฟันปลอมที่หลวม ซึ่งจะทำให้เกิดการระคายเคืองเรื้อรัง และอาจกักสารก่อมะเร็งต่าง ๆ เช่น สารเคมีในบุหรี่ แอลกอฮอล์ ทำให้สัมผัสกับเยื่อบุภายในช่องปากนานขึ้น
- รับประทานหรือเคี้ยวอาหารที่มีสารก่อมะเร็งเจือปนอยู่ เช่น หมาก พลู ยาเส้น และการใช้ยานัตถุ์
- รับประทานผักและผลไม้น้อย
- ใช้ยากดภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ
ข้อมูลข้างต้นได้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่าง “เชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV) กับ มะเร็งช่องปาก” ได้ค่อนข้างชัดเจน หากทุกคนตระหนักถึงความน่ากลัวของโรคร้ายเหล่านี้ก็ควรหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เพิ่มความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรค รวมทั้งหมั่นดูแลสุขภาพตนเองและเอาใจใส่สุขภาพของคนในครอบครัว เพื่อจะได้มีสุขภาพแข็งแรงห่างไกลโรคภัยและใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุข