
เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ เชื้อไวรัสนี้สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสละอองฝอยที่ผู้ป่วยไอหรือจาม อาการของโรคไข้หวัดใหญ่มักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันภายใน 1-4 วันหลังจากได้รับเชื้อไวรัส อาการทั่วไปของโรคไข้หวัดใหญ่ ได้แก่

ไข้สูง 38 องศาเซลเซียสขึ้นไป

ไอแห้ง

เจ็บคอ

ปวดเมื่อยตามตัวและกล้ามเนื้อ

อ่อนเพลีย

ปวดศีรษะ

คัดจมูก

น้ำมูกไหล
ในบางรายอาจมีอาการรุนแรง เช่น ปอดบวม ภาวะหายใจลำบากเฉียบพลัน และอาจเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคไต เป็นต้น
แนวทางการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่
โรคไข้หวัดใหญ่สามารถรักษาได้ด้วยยาต้านไวรัส โดยยาต้านไวรัสจะช่วยบรรเทาอาการและลดระยะเวลาของโรคลง ยาต้านไวรัสควรเริ่มรับประทานภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากเริ่มมีอาการ ยาต้านไวรัสที่มักใช้รักษาโรคไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทย ได้แก่
- ออมซานิวิร์ (Oseltamivir)
- เบลอกซาเวียร์ (Baloxavir)
นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และรับประทานยาบรรเทาอาการ เช่น ยาลดไข้ ยาแก้ไอ ยาแก้เจ็บคอ เป็นต้น
การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่
วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ คือ การทำวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ป้องกันความรุนแรง ป้องกันการนอนโรงพยาบาลจากไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ควรฉีดปีละครั้ง ก่อนเข้าฤดูฝนอย่างไรก็ตาม สามารถฉีดได้ตลอดทั้งปี
นอกจากการทำวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่แล้ว ยังสามารถป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้โดยการปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้
- ล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำ หรือใช้เจลล้างมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่มีอาการป่วย
- ปิดปากและจมูกด้วยกระดาษทิชชู่เมื่อไอหรือจาม
- ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อบริเวณที่มีการสัมผัสบ่อยๆ เช่น ลูกบิดประตู โต๊ะทำงาน เป็นต้น
หากมีอาการของโรคไข้หวัดที่มีอาการรุนแรง หรือมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรครุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง
กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน
- เด็ก อายุ 6 เดือน – 5 ปี
- ผู้สูงวัย อายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป
- ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
- ผู้หญิงตั้งครรภ์
- ผู้ดูแลผู้สูงอายุ
- ผู้ป่วยที่รักษาตนเองต่อที่บ้าน
- บุคลากรทางการแพทย์





